บทความสั้น
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การเว้นระยะห่างทางสังคม การล็อกดาวน์ และ การทำงานที่บ้าน (ตอนที่ 2)
Home / บทความสั้น

ทีมวิชาการสุขภาพคนไทย และผู้เขียนร่างแรก (ผศ.ดร.กันตพัฒน์ อนุศักดิ์เสถียร)
สถานการณ์เด่น | ตุลาคม 2564

work from home ในประเทศไทย

การศึกษาผลกระทบของการทำงานที่บ้านในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยใช้กรณีศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นช่วงเวลาประมาณ 1 เดือน เมษายน-พฤษภาคม 2563 มีจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 97 ราย พบว่า การทำงานที่บ้านทำให้เกิดผลดีทั้งต่อองค์กรและพนักงาน ทั้งด้านค่าใช้จ่ายโดยตรงที่ลดลง เวลาที่ประหยัดได้จากการเดินทาง และผลิตภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่พนักงานรู้สึกในทางบวกต่อการที่องค์กรให้อิสระในการทำงานที่บ้านได้ การลดงานที่ไม่จำเป็น การมีสภาพการทำงานที่เงียบมากขึ้น และการที่สามารถประชุมกับทั้งในและนอกองค์กรได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การทำงานที่บ้านยังมีผลดีต่อสังคมจากการช่วยลดปริมาณการจราจรในท้องถนน ซึ่งมีผลในการลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และมลพิษทางอากาศลงด้วย1 

work from home ภาครัฐ พร้อมไหม กับ new normal ?

จากรายงายของ ETDA เปิดเผยผลสำรวจบุคลากรภาครัฐจาก 20 กระทรวง ช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ในภาวะล็อกดาวน์ที่ผ่านมา มีความพร้อมทำงานจากบ้านในระดับ “ปานกลาง” จากข้อค้นพบนี้ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดสำรวจทางออนไลน์ในหัวข้อ ความพร้อมของภาครัฐในการทำงานในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อเตรียมพร้อมสู่ new normal ในระหว่างวันที่ 8-12 มิถุนายน 2563 กับบุคคลากรภาครัฐ ทั้ง 20 กระทรวงในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563 พบว่า เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ตอบว่ามีความพร้อมในการทำงานจากที่บ้าน ได้แก่ กลุ่มข้าราชการ ประเภทวิชาการ/ทั่วไป และพนักงานราชการ/ลูกจ้างประจำ/ลูกจ้างชั่วคราว ที่มีลักษณะงานเชิงเทคนิคจะมีความพร้อมในการทำงานจากที่บ้านมากกว่ากลุ่มที่ลักษณะงานไม่ได้เป็นงานเชิงเทคนิค ส่วนสายงานที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอยู่แล้วจะมีความพร้อมในการทำงานจากบ้านมากกว่าสายงานอื่น อาจเป็นเพราะมีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในการทำงานออนไลน์ ทำให้การทำงานสามารถยืดหยุ่นในเรื่องของสถานที่ทำงานได้2

สิ่งที่ต้องระวังจากการ work from home

จากผลสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย3 พบว่า มุมมองของพนักงานต่อการ WFH ต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานนั้น กลุ่มตัวอย่างมองว่า การทำงานที่บ้านทำให้แรงจูงใจในการทำงานลดลง (60.0%) มีความเสี่ยงต่อการลดลงของเงินเดือนและสวัสดิการ (57.6%) มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานลดลง (18.3%) และมองว่างานไม่มีความท้าทาย (14.7%) อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังของการทำงานที่บ้านมากเกินไปคือ อาจจะมีผลเสียและไม่ได้ตอบโจทย์การทำงานได้อย่างราบรื่น เช่น การจัดเวลาของชีวิต การอยู่ลำพังโดดเดี่ยวเป็นเวลานานเกิน ความรู้สึกผูกพันต่อองค์กรและเพื่อนร่วมงานลดลง ขาดประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต รวมถึงการเกิดปัญหาสุขภาพจิต ดังต่อไปนี้

  1. การทำงานที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการดูแลตนเองที่น้อยลง ขาดการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ แยกแยะเวลางานกับเวลาส่วนตัวได้ ไม่มีการผ่อนคลายที่แน่นอน เหนื่อยล้าสะสม อาจจะพัฒนาไปเป็นอาการ burnout ได้
  2. ความเครียด การทำงานทุกอย่างเป็นความท้าทาย แต่ความท้าทายก็มีการสะสมและก่อตัวของความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัว สิ่งนี้จะสะสมและกระตุ้นให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกวิตกกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง รู้สึกไม่ไว้วางใจผู้คน ระแวงในความปลอดภัย
  3. มีค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น เช่น มีค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต รวมถึงอาจจะต้องซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ หรือแม้กระทั่งการอบรมเรียนรู้โปรมแกรมใหม่ๆ
  4. การทำงานที่บ้านต้องมีการควบคุมพฤติกกรรมตนเองที่สูงและต้องใช้สมาธิอย่างมากในการทำงาน เพราะความคุ้นเคยเดิมของเราที่จำได้ว่า บ้านคือที่ๆ เราจะพักผ่อนและทำตัวได้ตามสบาย

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างก็เกิดความวิตกกังวลและไม่เข้าใจในปรากฏการณ์ของสิ่งนี้ ทุกคนต่างต้องปรับตัวและเผชิญปัญหาทั้งการเจ็บป่วยและสูญเสียคนที่เรารัก รวมถึงการสร้างมาตรการต่างๆ ขึ้นมาเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ ของการแพร่ระบายในครั้งนี้ ในหลายๆ ประเทศมีการออกกฎหมายในหลายๆ รูปแบบ เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีการใช้อำนาจตามพระราชกำหนด ของรัฐบาลเพื่อใช้ควบคุมการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีจุดมุ่งหมายในการลดการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งการขอความร่วมมือกับภาคประชาชนในการปฏิบัติตัวในการดูแลสุขภาพของตนเอง ตั้งแต่การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือเมื่อมีการสัมผัสกับสิ่งของที่มีความเสี่ยง การเว้นระยะห่างทางสังคม รวมไปถึงการปรับตัวในการทำงานที่บ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นการรับมือ

การเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะยังอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี และผลกระทบจากความสูญเสียทั้งหมดอาจจะต้องใช้เวลาในการเยียวยาและฟื้นสภาพทางเศรฐกิจและสังคม อีกอย่างน้อย 5 ปี สิ่งจำเป็นที่เกิดขึ้นจะเป็นประสบการณ์ของเราทุกคนที่จะต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตแบบ new normal และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เราทุกคนสามารถร่วมมือกันในการฝ่าวิกฤต รับผิดชอบในหน้าที่และดูแลสุขภาพของตนเอง รวมถึงร่วมมือกันในการดูแลส่วนรวมใน ชุมชน สังคมและประเทศของเรา การที่จะกลับมามีความสุข ใช้ชีวิตที่มีอิสระ และดูแลคนที่เรารักได้นั้นก็สามารถเป็นความจริงได้ในอีกไม่นาน

ทีมวิชาการสุขภาพคนไทย และผู้เขียนร่างแรก (ผศ.ดร.กันตพัฒน์  อนุศักดิ์เสถียร)


  1. เสาวรัจ รัตนคำฟู และ เมธาวี รัชตวิจิน. 2563. ผลกระทบของการทำงานที่บ้าน (Work from home) ในช่วงโควิด-19: กรณีศึกษาของทีดีอาร์ไอ. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564. https://tdri.or.th/2020/05/impact-of-working-from-home-covid-19/
  2. Work From Home ภาครัฐ พร้อมไหม กับ New Normal. : สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564. https://www.etda.or.th/th/newsevents/pr-news/Work-From-Home-Government-Sector-Survey.aspx
  3. Work From Home วิถีการทำงานยุคนี้ ที่ยังต้องหาจุดสมดุล. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2564.  https://kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/WFH-FB-04-08-21.aspx

 


รายงานสุขภาพคนไทย

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
เลขที่ 999 ถนนพุทธมณฑล สาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 ต่อ 531, 532, 630 โทรสาร 02-441- 9333